การทำงานที่บ้าน (Work from Home) เป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ทำงานหลัก เช่น ที่บ้านหรือสถานที่อื่น ๆ ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เรียกว่าถ้าดูหนังavได้ก็ทำงานได้ แถมมีเวลาไว้ดูหนังavอีกด้วย การทำงานที่บ้านได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์
การทำงานที่บ้านมีข้อดีหลายประการ ดังนี้
1. ประหยัดค่าใช้จ่าย พนักงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าอาหารระหว่างการเดินทางไปทำงาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
2. ลดเวลาในการเดินทาง พนักงานสามารถใช้เวลาในการเดินทางไปทำกิจกรรมอื่น ๆ แทน เช่น ใช้เวลากับครอบครัวหรือทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังav เล่นกีฬา สร้างกลุ่มที่สนใจในสิ่งเดียวกัน เป็นต้น
3. เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน พนักงานสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานได้ตามความต้องการ เช่น ทำงานในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น หรือทำงานในช่วงที่รู้สึกมีสมาธิมากที่สุด อย่าเอาเวลาทำงานไปดูหนังavเด็ดขาด เดี๋ยวงานไม่เดิน
4. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานสามารถทำงานอย่างมีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากไม่มีสิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอก
5. ลดความเสี่ยงในการติดโรค พนักงานสามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรคต่าง ๆ ในที่ทำงาน ถึงไม่มีโรคโควิด ก็มีไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดในตอนนี้
นอกจากข้อดีข้างต้นแล้ว การทำงานที่บ้านยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้อีกด้วย เนื่องจากพนักงานสามารถจัดสรรเวลาและพื้นที่ในการทำงานได้ตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายใจและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทำงานที่บ้านก็มีข้อเสียบางประการเช่นกัน เช่น พนักงานอาจรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว เนื่องจากขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน พนักงานอาจมีปัญหาในการแบ่งแยกเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว และพนักงานอาจรู้สึกเหนื่อยล้าจากการนั่งทำงานอยู่ที่บ้านเป็นเวลานาน
ดังนั้น องค์กรควรมีนโยบายการทำงานที่บ้านที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข หรือควรหาทางแก้ไขด้วยการมีจิตแพทย์คอยให้คำปรึกษา มีที่ปรึกษาที่สามารถแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆให้กับพนักงานได้ตลอดเวลา และควรมีแนวทางปฏิบัติเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากการทำงานแบบปกติ